ปริศนาอียิปต์โบราณ หน้ากากทองคำ
โดย นางสาวจิตราพร อาษาจิตร ชั้น ม.5 เลขที่7
สุสานตุตันคาเมนตุตันคาเมนเป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ ครองราชย์ระหว่าง ๑๓๓๖-๑๓๒๗ ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อมีการขุดพบสุสานแห่งนี้ราว ๘๐ กว่าปีก่อน ได้พบกรุสมบัติมากมายถึง๕,๐๐๐ กว่ารายการ รวมถึงหน้ากากทองคำและโลงศพทองคำ จนทำให้กลายเป็นสุสานที่โด่งดังที่สุดในหุบเขากษัตริย์) ตุตันคาเมนและหน้ากากทองคำ สุสานที่เราเข้าไปสำรวจเป็นลำดับถัดมาคือสุสานที่เพิ่งมีการค้นพบล่าสุด มีชื่อว่า KV 62 เป็นสุสานอันโด่งดังที่สุดแห่งหุบเขากษัตริย์ คือสุสานตุตันคาเมน ฟาโรห์แห่งอียิปต์ผู้ครองราชย์ระหว่าง ๑๓๓๖-๑๓๒๗ ปีก่อนคริสต์ศักราช ในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ตุตันคาเมนเป็นฟาโรห์ที่ไม่มีบทบาทมากนัก และสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระชนมายุ ๑๘ พรรษา แต่สุสานของพระองค์โด่งดังไปทั่วโลก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาการขุดพบสุสานฟาโรห์มักไม่ค่อยพบอะไรหลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนมากมักถูกบรรดาโจรลักลอบเอาของมีค่าออกไปจนหมดสิ้น ยกเว้นสุสานตุตันคาเมนที่ได้เปิดเผยสู่ชาวโลกเป็นครั้งแรกเมื่อ ๘๐ กว่าปีก่อน พร้อมด้วยหน้ากากทองคำ โลงศพทองคำ และทรัพย์สินของมีค่าต่างๆ ถึงกว่า ๕,๐๐๐ รายการ นับว่าเป็นการค้นพบกรุสมบัติมากที่สุดตั้งแต่มีการขุดพบหลุมศพของฟาโรห์เลยทีเดียว นี่ขนาดตุตันคาเมนครองราชย์เพียง ๙ ปี และไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นเท่าไร ยังมีทรัพย์สมบัติมากมายถึงเพียงนี้ หากเปรียบเทียบกับสุสานของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ในหุบเขากษัตริย์อีกหลายพระองค์ อาทิ อาเมนโฮเทปที่ ๓, เซติที่ ๑, รามเสสที่ ๒ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงมีทรัพย์สมบัติมากกว่ามหาศาล แต่ได้ถูกโจรกรรมไปจนหมดสิ้นก่อนหน้าที่จะมีการขุดพบเสียอีก ที่สำคัญคือ การขุดพบครั้งนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้โลกได้เข้าใจถึงความรู้และสติปัญญาของคนอียิปต์เมื่อ ๓,๐๐๐ กว่าปีก่อน ว่ามีความเจริญก้าวหน้าเพียงใด โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ จิตรกรชาวอังกฤษที่กลายมาเป็นนักอียิปต์วิทยาผู้โด่งดัง ได้พบหลักฐานหลายอย่างระบุว่าสุสานของตุตันคาเมนจะต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งภายในหุบเขากษัตริย์ ภายใต้การสนับสนุนแหล่งเงินทุนจากลอร์ดคาร์นาร์วอน ชาวอังกฤษ คาร์เตอร์ใช้เวลาถึง ๗ ปี ทำการจ้างแรงงานอียิปต์จำนวนมากขุดหินขุดดินหลายพันตัน พยายามเจาะเข้าไปในหินผา แต่ก็ไม่พบหลักฐานหรือช่องทางใดๆ กระทั่งเงินทุนร่อยหรอลง แต่แล้วสิ่งที่น่าประหลาดก็เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายก่อนจะยุติการขุดค้น คาร์เตอร์สั่งให้ขุดลงไปในบริเวณที่พบกระท่อมของคนงานก่อสร้างสุสานฟาโรห์รามเสสที่ ๖ และเป็นพื้นที่เดียวในบริเวณนั้นที่ยังไม่ได้สำรวจ พอถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๒๒ คาร์เตอร์ก็ขุดพบปากทางเข้าสุสาน พอขุดไปเรื่อยๆ จึงพบตราประทับของฟาโรห์ตุตันคาเมน เป็นการยืนยันการค้นพบสุสานฟาโรห์ครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า
“...เราถึงกับอ้าปากค้างด้วยความพิศวง เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับความงามสง่าของรูปจำลองกษัตริย์หนุ่มที่ทำจากทอง ด้วยฝีมืออันประณีตวิจิตรที่สุด...”
เมื่อคาร์เตอร์เดินลงไปตามทางเขาก็ได้พบห้อง ๔ ห้อง สามห้องแรกอัดแน่นไปด้วยเครื่องมือ เครื่องใช้จำนวนมาก อาทิ รถศึก พระบัลลังก์ พระแท่นบรรทมทองคำ รูปปั้นขนาดเท่าคนจริงถือหอกเหมือนทหารยามยืนรักษาการณ์ หีบทองประดับด้วยงาช้าง แจกัน คนโท พระแสงชนิดต่างๆ ฉลองพระบาท และสิ่งของอีกจำนวนมาก ส่วนห้องสุดท้ายที่เขาพบคือห้องบรรจุโลงหิน ฝาโลงทำด้วยหินแกรนิตสีชมพู แกะสลักนูนสูงตรงมุมเป็นรูปเทพธิดาเซลคิทสยายปีกคอยปกป้อง ภายในมีโลงพระศพ ๓ ชั้น สองชั้นแรกเป็นหีบพระศพแกะสลักจากไม้ท่อนฉาบทองคำ ก่อนที่จะถึงหีบพระศพทองคำมัมมี่ของฟาโรห์ แต่ละชั้นสลักลวดลายวิจิตรพิสดารงดงามยิ่งนัก เราเดินย้อนลงไปตามทางที่คาร์เตอร์เป็นผู้บุกเบิกเมื่อ ๘๐ กว่าปีก่อน ตลอดสองข้างทางบนฝาผนังเต็มไปด้วยภาพวาดสีของคนโบราณเกี่ยวกับความเชื่อหลังความตาย ส่วนใหญ่ยังคงสีสันงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายพันปี เราเห็นภาพวาดของเทพอนูบิสมารับฟาโรห์ตุตันคาเมนเพื่อเตรียมตัวเดินทางสู่แดนมรณะ ภาพของเทพโอซิริสกำลังพิพากษาฟาโรห์ ส่วนห้องแต่ละห้องที่เคยมีทรัพย์สมบัติอยู่นั้นกลายเป็นห้องโล่งๆ ของทั้งหมดได้ถูกขนออกไปเก็บรักษาและตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงไคโร ภายในสุดคือห้องโลงพระศพ เรามองผ่านกระจกเข้าไปเห็นโลงพระศพไม้ฉาบทองคำ ฝังด้วยอัญมณีและแก้วหลากสีทั้งโมราสีแดงและสีฟ้าเทอร์คอยส์ ภายในมีมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนนอนสงบนิ่งอยู่ แตกต่างจากมัมมี่ของฟาโรห์องค์อื่นๆ ที่เมื่อถูกค้นพบมักจะไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในอียิปต์และต่างประเทศ แต่สำหรับฟาโรห์องค์นี้ เป็นความประสงค์ของคาร์เตอร์ที่ปรารถนาให้พระองค์บรรทมสงบนิ่งเหมือนเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน ไม่ต้องไปถูกตั้งโชว์อยู่ตามที่ต่างๆ บางคนกล่าวว่าภายหลังการขุดพบสุสานแห่งนี้ คาร์เตอร์เองก็รู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่ไปรบกวนความสงบสุขของกษัตริย์หนุ่ม หลายวันต่อมาเราได้ตามไปดูทรัพย์สมบัติที่ขนย้ายจากสุสานของตุตันตาเมนจำนวน ๕,๐๐๐ กว่ารายการ มาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกลางกรุงไคโร สิ่งที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงที่สุดคือหน้ากากทองคำตีเข้ารูปของกษัตริย์หนุ่ม หนักประมาณ ๑๔ กิโลกรัม ยังคงแวววาวเปล่งประกายมาตลอดกว่า ๓,๐๐๐ ปี บนพระนลาฏมีรูปงูเห่าและนกแร้งสัญลักษณ์ของอียิปต์ทั้งสองอาณาจักรที่ทรงปกครอง ตกแต่งด้วยเพชรพลอยอัญมณีมีค่าเท่าที่จะหาได้
โลงพระศพชั้นในสุดทำด้วยทองคำบริสุทธิ์หนักกว่า ๑๐๐ กิโลกรัม เป็นที่บรรจุมัมมี่ยาว ๖ ฟุต พระรูปบรรทม สลักเป็นเทพโอซิริสสัญลักษณ์ของฟาโรห์ รอบพระศอทรงสร้อย ๒ ชั้นทำด้วยทองสีแดงและสีเหลือง พระหัตถ์ที่ไขว้อยู่บนพระอุระทรงกุมแส้และพระคทาหัวขอสัญลักษณ์ของเทพโอซิริส ผิวหน้าโลงทองคำทั้งหมดสลักเป็นลวดลายขนนกอย่างละเอียดงดงาม แพรวพราวด้วยอัญมณีและแก้วสีนานาชนิด เรายังเห็นเครื่องประดับอีกมายมายที่แสดงถึงความสามารถ ความประณีต และความคิดสร้างสรรค์ของช่างอียิปต์โบราณอย่างน่าอัศจรรย์ อาทิ กรองพระศอเป็นรูปนกแร้ง ทำด้วยทองคำชิ้นเล็กๆ ๒๕๖ ชิ้น ฝังเรียงกับแก้วหลากสี กล่องน้ำหอมของฟาโรห์ทำด้วยทองคำและเงิน กำไลพระกร ทับทรวงที่ออกแบบอย่างวิจิตรพิสดาร ลวดลายหลายชนิดยังเป็นเครื่องประดับที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การออกแบบลวดลายเครื่องประดับต่างๆ ในวงการแฟชั่นที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมีกำเนิดและพัฒนาต่อยอดมาจากศิลปะการออกแบบของคนอียิปต์โบราณนั่นเอง บรรณานุกรม
“...เราถึงกับอ้าปากค้างด้วยความพิศวง เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับความงามสง่าของรูปจำลองกษัตริย์หนุ่มที่ทำจากทอง ด้วยฝีมืออันประณีตวิจิตรที่สุด...”
เมื่อคาร์เตอร์เดินลงไปตามทางเขาก็ได้พบห้อง ๔ ห้อง สามห้องแรกอัดแน่นไปด้วยเครื่องมือ เครื่องใช้จำนวนมาก อาทิ รถศึก พระบัลลังก์ พระแท่นบรรทมทองคำ รูปปั้นขนาดเท่าคนจริงถือหอกเหมือนทหารยามยืนรักษาการณ์ หีบทองประดับด้วยงาช้าง แจกัน คนโท พระแสงชนิดต่างๆ ฉลองพระบาท และสิ่งของอีกจำนวนมาก ส่วนห้องสุดท้ายที่เขาพบคือห้องบรรจุโลงหิน ฝาโลงทำด้วยหินแกรนิตสีชมพู แกะสลักนูนสูงตรงมุมเป็นรูปเทพธิดาเซลคิทสยายปีกคอยปกป้อง ภายในมีโลงพระศพ ๓ ชั้น สองชั้นแรกเป็นหีบพระศพแกะสลักจากไม้ท่อนฉาบทองคำ ก่อนที่จะถึงหีบพระศพทองคำมัมมี่ของฟาโรห์ แต่ละชั้นสลักลวดลายวิจิตรพิสดารงดงามยิ่งนัก เราเดินย้อนลงไปตามทางที่คาร์เตอร์เป็นผู้บุกเบิกเมื่อ ๘๐ กว่าปีก่อน ตลอดสองข้างทางบนฝาผนังเต็มไปด้วยภาพวาดสีของคนโบราณเกี่ยวกับความเชื่อหลังความตาย ส่วนใหญ่ยังคงสีสันงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายพันปี เราเห็นภาพวาดของเทพอนูบิสมารับฟาโรห์ตุตันคาเมนเพื่อเตรียมตัวเดินทางสู่แดนมรณะ ภาพของเทพโอซิริสกำลังพิพากษาฟาโรห์ ส่วนห้องแต่ละห้องที่เคยมีทรัพย์สมบัติอยู่นั้นกลายเป็นห้องโล่งๆ ของทั้งหมดได้ถูกขนออกไปเก็บรักษาและตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงไคโร ภายในสุดคือห้องโลงพระศพ เรามองผ่านกระจกเข้าไปเห็นโลงพระศพไม้ฉาบทองคำ ฝังด้วยอัญมณีและแก้วหลากสีทั้งโมราสีแดงและสีฟ้าเทอร์คอยส์ ภายในมีมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนนอนสงบนิ่งอยู่ แตกต่างจากมัมมี่ของฟาโรห์องค์อื่นๆ ที่เมื่อถูกค้นพบมักจะไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในอียิปต์และต่างประเทศ แต่สำหรับฟาโรห์องค์นี้ เป็นความประสงค์ของคาร์เตอร์ที่ปรารถนาให้พระองค์บรรทมสงบนิ่งเหมือนเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน ไม่ต้องไปถูกตั้งโชว์อยู่ตามที่ต่างๆ บางคนกล่าวว่าภายหลังการขุดพบสุสานแห่งนี้ คาร์เตอร์เองก็รู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่ไปรบกวนความสงบสุขของกษัตริย์หนุ่ม หลายวันต่อมาเราได้ตามไปดูทรัพย์สมบัติที่ขนย้ายจากสุสานของตุตันตาเมนจำนวน ๕,๐๐๐ กว่ารายการ มาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกลางกรุงไคโร สิ่งที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงที่สุดคือหน้ากากทองคำตีเข้ารูปของกษัตริย์หนุ่ม หนักประมาณ ๑๔ กิโลกรัม ยังคงแวววาวเปล่งประกายมาตลอดกว่า ๓,๐๐๐ ปี บนพระนลาฏมีรูปงูเห่าและนกแร้งสัญลักษณ์ของอียิปต์ทั้งสองอาณาจักรที่ทรงปกครอง ตกแต่งด้วยเพชรพลอยอัญมณีมีค่าเท่าที่จะหาได้
โลงพระศพชั้นในสุดทำด้วยทองคำบริสุทธิ์หนักกว่า ๑๐๐ กิโลกรัม เป็นที่บรรจุมัมมี่ยาว ๖ ฟุต พระรูปบรรทม สลักเป็นเทพโอซิริสสัญลักษณ์ของฟาโรห์ รอบพระศอทรงสร้อย ๒ ชั้นทำด้วยทองสีแดงและสีเหลือง พระหัตถ์ที่ไขว้อยู่บนพระอุระทรงกุมแส้และพระคทาหัวขอสัญลักษณ์ของเทพโอซิริส ผิวหน้าโลงทองคำทั้งหมดสลักเป็นลวดลายขนนกอย่างละเอียดงดงาม แพรวพราวด้วยอัญมณีและแก้วสีนานาชนิด เรายังเห็นเครื่องประดับอีกมายมายที่แสดงถึงความสามารถ ความประณีต และความคิดสร้างสรรค์ของช่างอียิปต์โบราณอย่างน่าอัศจรรย์ อาทิ กรองพระศอเป็นรูปนกแร้ง ทำด้วยทองคำชิ้นเล็กๆ ๒๕๖ ชิ้น ฝังเรียงกับแก้วหลากสี กล่องน้ำหอมของฟาโรห์ทำด้วยทองคำและเงิน กำไลพระกร ทับทรวงที่ออกแบบอย่างวิจิตรพิสดาร ลวดลายหลายชนิดยังเป็นเครื่องประดับที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การออกแบบลวดลายเครื่องประดับต่างๆ ในวงการแฟชั่นที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมีกำเนิดและพัฒนาต่อยอดมาจากศิลปะการออกแบบของคนอียิปต์โบราณนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น